
เลี้ยงผีโพงในโพรงต้นไม้
นะที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเวลาประมาณบ่ายแก่ๆ ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ในเวลาเดียวกันนั้นมีชายวัยรุ่นสองคนคือโพดและศักดิ์ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ และยังเคยเรียนหนังสือที่โรงเรียนเดียวกันอีกด้วย
ชวนกันไปแอบดูผีโพง
โพดได้เอ่ยปากขึ้นว่า เฮ้ยศักดิ์วันนี้ฝนตกหนักเลยว่ะ และเป็นฝนช่วงแรกแรก ของปีนี้ด้วยน่าจะมีกบเขียดออกมาหากินแมลงกันเยอะแน่แน่คืนนี้ ศักดิ์ได้ยินโพดพูดแบบนั้นจึงถามกลับไปว่า ทำไมวะเอ็งจะไปส่องกบรึ
โพดตอบกลับว่า เปล่าหรอกข้าจะชวนเอ็งไปแอบดูผีโพงกัน ซึ่งข้าเคยเห็นมากับตาหลายครั้งแล้ว เอ็งเคยเห็นผีโพงหรือเปล่าโพดถามกลับ ข้าเคยได้ยินแต่เขาพูดกันว่าผีโพงมีจริงจริงแต่ข้าไม่เคยเห็นหรอกศักดิ์ตอบ พอดีเลยคืนนี้เราจะไปแอบดูผีโพงเพื่อพิสูจน์ว่ามันมีจริงไหม
คืนนี้เอ็งออกมาหาข้าที่บ้านนะเพื่อน เราจะไปแอบดูที่หลังโรงเรียนกัน เพราะตรงนั้นจะติดกับทุ่งนาในยามค่ำคืนวันที่ฝนตกชาวบ้านมักจะออกไปจับกบจับเขียดกัน ตรงทุ่งนาแถวแถวนั้น ได้เลยเพื่อนแต่ข้าก็ยังกลัวๆ อยู่นะแต่ก็อยากพิสูจน์เหมือนกันว่า ผีโพงมันมีจริงไหมศักดิ์ตอบ
ในคืนวันนั้นเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่ากว่า ซึ่งทางต่างจังหวัดนับว่า ดึกพอสมควรแล้ว เพราะชาวบ้านจะเข้านอนกันแต่หัวค่ำ และปิดไฟนอนบ้านใครบ้านมันไม่นิยมเปิดไฟทิ้งไว้เหมือนในเมือง ตามถนนหนทาง จึงดูมืดสนิดไปหมดโพดและศักดิ์ ก็ได้ออกมาหากันตามเวลานัดหมาย แต่ทั้งสองคนไม่มีไฟฉาย หรือไฟแบตเตอรี่กันเลยซักคน
แอบดูผีโพงหลังโรงเรียน
ระยะทางจากบ้านโพดไปถึงหลังโรงเรียนก็ประมาณสองกิโลได้ ทั้งสองคนปั่นจักรยานคนละคันไปตามถนนหมู่บ้าน ซึ่งเวลานั้นมันมืดมากแล้ว แต่ตรงทางยังพอมองเห็นดินขาวขาว พอให้เห็น พอให้ปั่นจักรยานไปได้อยู่บ้าง
ไปเร็วเร็วเพื่อนเดี๋ยวมันจะดึกมากเดี๋ยวชาวบ้านที่ออกไปส่องกบเขียด จะเข้ามาในหมู่บ้านกันหมด มันจวังเวงมากเลยนะโพดบอกกับศักดิ์ ข้าก็รีบปั่นอยู่นี่ไงกลัวรถจะตกทางก็กลัวศักดิ์ตอบ
ระหว่างทางที่ทั้งสองคนปั่นจักรยานไปนั้น บรรยากาศมืดวังเวงลมเริ่มพัดเบาเบา แต่ก็ยังเย็นยะเยือกได้เหมือนกัน เนื่องจากฝนเพิ่งตกไปเมื่อตอนบ่ายบ่ายนี่เองและเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว
พอทั้งสองคนมาถึงโรงเรียนก็ได้จอดจักรยานเอาไว้หน้าโรงเรียน จากนั้นจึงเดินอ้อมมาทางด้านหลังโรงเรียน ถึงจะมืดไปหน่อยแต่ทั้งสองคนก็เดินมาได้เนื่องจากเคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ จึงพอรู้ช่องทางในการเดินได้เป็นอย่างดี
แต่ก่อนที่โรงเรียนเคยเป็นป่าช้า
เดิมทีที่ดินตรงโรงเรียนนี้ แต่ก่อนเคยเป็นป่าช้ามาก่อน เพราะในสมัยนั้นชาวบ้านหาที่ดินสร้างโรงเรียนยากมากมาก จึงใช้ที่ดินตรงป่าช้านี่แหละสร้างโรงเรียนเพราะเป็นที่สาธารณะด้วย บรรยากาศตอนหลังสี่ทุ่มขึ้นไปที่โรงเรียนแห่งนี้จะเงียบงันและวังเวงน่าขนหัวลุกมากมาก
เราไปนั่งตรงนั้นกันดีกว่าศักดิ์ นั่งเงียบเงียบนะเพื่อนโพดบอกศักดิ์ ทั้งสองคนนั่งอยู่ในความมืดมิดหลังโรงเรียน สายตาก็จ้องมองออกไปกลางทุ่งนา ในเวลานั้นก็จะมองเห็นแสงไฟจากแบตเตอรี่ของชาวบ้าน ที่พากันออกไปส่องหากบหาเขียดกัน แสงไฟแต่ละดวงจะอยู่ห่างกันพอสมควรแต่ก็พอมองเห็นได้ไกลๆ ซึ่งน่าจะมีไม่เกิน 10 ดวงที่ยังอยู่กลางทุ่ง เนื่องจากว่าเวลานี้ดึกแล้วชาวบ้านเริ่มทยอยกลับเข้าหมู่บ้านกันบ้างแล้ว
ดวงไฟก็จะค่อยค่อยหายไปทีละดวงสองดวงเริ่มเหลือน้อยและบางตาลงทุกที ช่วงเวลาประมาณห้าทุ่มเกือบหกทุ่มโพดได้มองไปกลางทุ่งนา แถวๆ ตรงนั้นจะเป็นทางเข้าหมู่บ้านและทางเส้นนั้นก็จะเชื่อมกับถนนใหญ่ ที่สามารถเดินทางไปหมู่บ้านอื่นได้
แสงไฟปริศณาดวงสีเขียว
โพดมองเห็นแสงไฟดวงหนึ่งสีออกเขียวๆ ถ้าเทียบกับแสงไฟของแบตเตอรี่ก็จะเหมือนไฟที่เพิ่งชาร์จมาใหม่ใหม่ แสงจึงสว่าง ออกเขียวๆ แสงไฟดวงนั้นกำลังลอยมาทางบริเวณหลังโรงเรียนที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ ลักษณะการลอยของดวงไฟ ขึ้นขึ้นลงลงโค้งโค้งคล้ายคล้ายกับคนเอาไฟแบตเตอรี่ติดไว้ที่หัว แล้วเดินย่อลงลุกขึ้นย่อลงลุกขึ้นไปเรื่อยเรื่อยแบบนั้น ซึ่งมันไม่มีชาวบ้านคนไหนที่จะทำแบบนั้นกันหรอก
แต่โพดก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก นึกว่าเป็นชาวบ้านที่ส่องไฟหากบ คงจะเดินตกต่ำตกสูงตามพื้นทุ่งนานั่นแหละ แต่พอแสงไฟมาถึงบริเวณที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ ห่างออกไปประมาณ 100 กว่าเมตรดวงไฟดวงนั้นก็ยังลอย หยึกหยักหยึกหยักเหมือนเดิมอยู่เช่นนั้น แต่จะมองเห็นชัดเจนมากขึ้นและดวงใหญ่มากขึ้นด้วย
ในตอนนั้นโพดสะกิดศักดิ์และพูดเสียงสั่นๆ ว่า ศักดิ์ศักดิ์ศักดิ์ เองเคยเห็นไหมนั่นนั่นนั่นนั่นเอ็งเคยเห็นไหม สักนั่งเงียบไม่พูดอะไรเลยสักคำนั่งนิ่งมาก
ทันใดนั้นดวงไฟก็ลอยมาใกล้ใกล้ จนมองเห็นได้ชัดว่าดวงไฟนั้น มันดวงใหญ่กว่าไฟแบตเตอรี่ของชาวบ้าน ฉนั้นสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าของทั้งสองคนคงไม่ใช่ชาวบ้านที่มาส่องกบส่องเขียนแน่นอน แล้วมันคืออะไรล่ะ
แต่น่าแปลกก็คือ มันจะแตกสะเก็ดออกมาเป็นลูกไฟเล็กเล็ก แล้วหยดลงพื้นเหมือนกับคนเดินถือกระบองไฟที่ทำด้วยยางไม้ พอไฟไหม้ยางไม้ก็จะกระเด็นหยดลงพื้นในขณะที่ถือแล้วเดิน แต่ทะว่าสิ่งที่ทั้งสองคนเห็นอยู่นั้นมันมีแต่ดวงไฟไม่มีคนถือเลย โพดก็พูดงึมงำขึ้นว่า เพื่อนเพื่อนเพื่อนเอ็งเคยเห็นไหมนั่นนั่นนั่น ผีโพงมันมาแล้ว

ทันใดนั้นดวงไฟก็ลอยในลักษณะขึ้นลงขึ้นลงโค้งๆ อยู่สูงในระดับหัวคนที่กำลังเดินประมาณนั้นเลย แล้วก็ยังมีลูกไฟหยดตามหลังมาตลอดทาง พอมาถึงตรงหน้าที่ทั้งสองนั่งอยู่นั้นซึ่งไม่ห่างมากนัก ดวงไฟนั้นค่อยค่อย ลอยต่ำลงพื้นและแสงไฟก็ดับวูบไปในทันที ทั้งสองคนได้ยินเสียงเหมือนกลับว่ามีใครเอาถ่านไฟแดงแดงก้อนใหญ่กดลงน้ำแล้วไฟก็ดับแฟ๊บไป
ในเวลานี้ที่ตรงนั้นที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ ก็มีหมาสองตัวน่าจะเป็นหมาที่มาจากวัด ซึ่งวัดก็อยู่ติดกับโรงเรียนนั่นแหละ เจ้าหมาสองตัวมันมายืนเห่าส่งเสียงดัง มันคงจะมองเห็นโพดและศักดิ์ นั่นแหละก็เลยเห่า
ผีโพงมีมากกว่าหนึ่งตัว
ในเวลาเดียวกันนั้นโพดก็มองเห็นแสงไฟแบบเดียวกันกับดวงแรก กำลังลอยมาจากทางเข้าหมู่บ้านกลางทุ่งนา ลอยมาทางเดียวกันเลยและลอย โค้งขึ้นลงอยู่ระดับหัวคนเหมือนดวงแรกเลย จะต่างกันก็ตรงที่สีของมันจะออกแดงแดงเหมือนแบตเตอรี่กำลังจะหมดไฟ
โพดเรียกศักดิ์อีกครั้ง เพื่อนเพื่อน เพื่อนเพื่อน เอ็งเห็นนั่นไหม มันมาอีกดวงแล้วมาทางเดียวกันเลยมีลูกไฟหยดมาเป็นทางเลย ศักดิ์นั่งนิ่งและกลัวจนไม่กล้าออกเสียงใดๆ
พอแสงไฟลอยมาถึงตรงจุดที่ดวงแรกดับลง มันก็ค่อยค่อยลอยต่ำลงพื้นจนแสงดับวูบไปแบบเดียวกับไฟดวงแรก หมาที่กำลังเห่า ก็เริ่มเห่าดังขึ้นเรื่อยเรื่อยเหมือนมันจะเห็นทั้งสองคน หรือว่ามันเห็นอะไรอย่างอื่นก็ไม่รู้ได้
ศักดิ์เริ่มกลัวมากขึ้นเรื่อยเรื่อยเขาพูดเสียงสั่นในลำคอ เขาพูดขึ้นมาว่าโพดโพด โพดโพด ไฟมันดับไปแล้ว หรือมันจะรู้ว่าเราแอบดูมันอยู่ ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ลุกพรวดพลาดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะพวกเขากลัวว่าผีโพง ที่มันดับแสงของมันลง ก็เพื่อที่มันจะมาหาเขาทั้งสองคนหรือเปล่า เพราะไม่มีแสงไฟก็ไม่รู้ว่าผีโพงมันจะไปทางไหน หรือมันอาจจะกำลังเข้ามาหาพวกเขาอยู่ก็เป็นไปได้
ผีโพงมาแล้วตัวใครตัวมัน
โพดและศักดิ์ รีบวิ่งไปจับจักรยานเพื่อจะหนีเข้าหมู่บ้านด้วยความกลัวและตกใจ ศักดิ์ได้จูงจักรยานวิ่งฝ่าสนามบอลไปอย่างทุลักทุเล ซึ่งเป็นสนามดินพื้นจะไม่ค่อยเรียบเท่าไหร่ ส่วนโพดตอนแรกก็ปั่นจักรยานฝ่าสนามบอล เกือบจะได้อยู่แล้ว แต่ด้วยความที่พื้นของสนามบอลไม่ค่อยจะเรียบจึงปั่นได้ไม่ดีนัก โพดจึงลงมาจุงจักรยานแล้ววิ่งตามศักดิ์เข้าหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว
พอมาถึงหมู่บ้านโพดและศักดิ์ ยังคาใจกับเรื่องผีโพงอยู่ไม่หาย จึงได้ชวนกันไปหาพ่อใหญ่แพง ซึ่งพ่อใหญ่แพง เป็นคนที่มีความรู้เรื่องวิชาอาคมและเรื่องไสยศาสตร์อยู่มากเลยทีเดียว พ่อใหญ่แพงเล่าให้ฟังว่าตรงหลังโรงเรียนนั้นมีต้นไม้ใหญ่สองต้นเอนค้ำกันอยู่ และมีโพรงไม้อยู่ตรงนั้นด้วย
พ่อใหญ่แพงบอกที่นาตรงนั้นเป็นของใครล่ะ เจ้าของผีโพงก็น่าจะเป็นของเจ้าของที่นานั้นแหละ พ่อใหญ่แพงกล่าวจบ ทั้งสองคนจึงร้อง อ๋อ พร้อมกัน เพราะที่นาตรงนั้นเป็นที่นาของพ่อใหญ่จง กับแม่ใหญ่ผัน สองผัวเมียที่ชาวบ้านเรียกกันว่าธรรมจงกับธรรมผัน สองผัวเมียจะเป็นคนนับถือธรรม และชาวบ้านเล่ากันว่าสองผัวเมียจะเก่งเรื่องวิชาอาคมเรื่องไสยศาสตร์มาก
พ่อใหญ่แพงเล่าต่อว่า ผีโพงมีทั้งแบบเป็นตลับข้างในเป็นสีผึ้ง และแบบที่เป็นต้นว่านก็มี เขาเรียกกันว่าว่านผีโพง แบบที่พวกเอ็งไปเจอมาน่าจะเป็นตลับ ซึ่งเจ้าของได้เอาไปวางไว้ในโพรงไม้ในที่นาของตนเอง เพื่อให้ผีโพงออกหากินกบเขียดเอง ในยามกลางคืน และเชื่อกันว่าผีโพงยังเฝ้าไร่สวนนาให้เจ้าของผู้ที่เลี้ยงได้อีกด้วย
ส่วนของพ่อใหญ่แพงจะเป็นต้นว่านซึ่งปลูกอยู่หน้าบ้านนี่เอง บางคืนต้นว่านก็จะออกแสงระยิบระยับถ้าคนไม่สังเกตก็จะนึกว่าเป็นแสงของหิงห้อย พ่อใหญ่แพงกล่าว
โพดพูดตัดบทขึ้นว่า ไงวะไอ้ศักดิ์ เห็นผีโพงเต็มเต็มตาแบบนี้นั่งตัวเกร็งเลยนะเอ็งไม่พูดไม่จา กลัวมากหละซิท่า ศักดิ์ก็ขำ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เอ็งก็กลัวเหมือนกันแหละว๊า จักรยานเค้ามีไว้ปั่นไม่ใช่รึ แต่เองจุงแล้ววิ่ง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ทั้งคู่และพ่อใหญ่แพงต่างก็หัวเราะส่งเสียงกันอย่างครื้นเครง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า
เรื่องเล่นเจ็บแล้วไปนอนกันดีกว่า
พอสิ้นเสียงหัวเราะโพดก็ชวนศักดิ์กลับบ้านนอน ไป ไปนอนกันดีกว่าดึกแล้วรบกวนพ่อใหญ่แพงแกคงอยากพักผ่อนแล้ว พอศักดิ์พูดจบทั้งคู่ก็ลุกขึ้นเดินกลับบ้านไปทันที หลังจากคืนนั้นมาทั้งสองคนก็หาเวลาไปปีนต้นไม้ที่เอนค้ำกันอยู่ที่หลังโรงเรียน ปรากฎว่าในโพรงไม้นั้น มีตลับสีผึ้งวางอยู่สองตลับจริงจริง ตามที่พ่อใหญ่แพงสันนิษฐานเอาไว้ แต่ทั้งคู่ไปปีนดูตอนกลางวันนะ เพราะกลางคืนเป็นเวลาที่ผีโพงมันออกจากตลับเพื่อไปหากิน แต่กลางวันมันก็เป็นตลับสีผึ้งธรรมดาเหมือนไม่มีฤทธิ์เดชอะไรเลยเชียวหละ บทความเสียงเรื่องผีโพง