
ซ้อนแผนรักนายมาเฟียฝึกหัด
“ไชต์งานที่นายคุมการก่อสร้างอยู่ ไปถึงไหนแล้วเพื่อน ติดปัญหาตรงไหนหรือเปล่า”
“งานก่อสร้างห้างสรรพสินค้านั่นเหรอเรียบร้อยดีไม่ติดปัญหาอะไรนะ แล้วของนายล่ะเป็นไงบ้าง.
“ของเราติดปัญหาเรื่องคนงานขาดแคลน แต่ตอนนี้ได้คนงานมาเพิ่มแล้ว งานก็เลยไปได้เรื่อยๆ”
ภาคภูมิ และ คมศร อายุ 29ปีเท่ากัน ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเล็กๆ และยังจบวิศวกรก่อสร้างมาพร้อมกันอีกด้วย ทั้งคู่จึงได้ทำงานเป็นวิศวกรตรงตามสาขาที่ได้ร่ำเรียนมา
ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งกินข้าวตรงร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งกลางเมืองใหญ่
ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองคนกำลังคุยเรื่องงานกันอยู่นั้น ภาคภูมิได้เหลือบตาไปเห็นรถบัสคันหนึ่ง ที่วิ่งมาแล้วก็จอดตรงชายฉกรรจ์สองคนที่กำลังยืนดักรออยู่ แล้วสักครู่ชายคนขับรถบัสก็ยื่นซองสีน้ำตาลให้ชายฉกรรจ์สองคนนั้นก่อนที่จะขับรถบัสผ่านไป
“คมศร” นายเห็นนั่นไหม? เขาทำอะไรกันเมื่อตะกี้ แล้วในซองนั่นคืออะไร แล้วสองคนนั้นเป็นใครกัน ตำรวจก็ไม่ใช่”
“นั่นมันพวกมาเฟียนี่” คงจะเก็บค่าผ่านทางละมั้ง เพราะพื้นที่โดยรอบมหาลัยแห่งนี้ มันเป็นที่ส่วนบุคคลนะ ทั้งห้างสรรพสินค้า ทั้งห่อพักคอนโดรอบๆแถวนี้ รวมไปถึงถนนหนทางด้วยเป็นของนายทุนใหญ่เจ้าเดียวเลย นี่แหละเขาจึงมาเก็บค่าผ่านทาง แต่เห็นเก็บค่าผ่านทางเฉพาะรถขนาดใหญ่กับรถที่มีผู้โดยสารนะ เช่นรถบัส รถสองแถว รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างพวกนี้จะโดนกันหมด นี่ยังไม่รวมพ่อค้าแม่ขายในตลาดอีก จะไม่จ่ายให้เขาก็ไม่ได้เพราะมาค้าขายในพื้นที่ของเขา ซึ่งมีคนอาศัยอยู่จำนวนมากมันจึงเป็นแหล่งทำมาหากินของคนจนด้วย และพวกคนรวยหัวใสด้วย”
“ทุกวันนี้ ยังมีคนหากินบนความทุกข์ยากของคนอื่นอยู่อีกเหรอวะเพื่อน”
“อย่าเรียกว่าหากินเลยภาคภูมิ มันคือผลประโยชน์ของเขา ที่เขาควรจะได้รับตั้งแต่ต้นอยู่แล้วเพราะพื้นดินทั้งหมดตรงนี้มันเป็นของเขา คนที่ย่างกรายเข้ามาในพื้นที่ของเขาก็ต้องยอมจ่าย เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในการทำมาหากิน นี่ภาคภูมิ นายไม่รู้หรอกเหรอว่าคนที่เป็นเจ้าของที่ดินและกิจการทั้งหมดบริเวณหน้ามหาลัยแห่งนี้ คือกำนันหาญกล้า ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่ากำนันหาญนั่นแหละ และกำนันหาญคนนี้แหละที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดในการเรียกเก็บค่าคุ้มครองต่างๆ และที่สำคัญเขายังเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในห้างสรรพสินค้าที่นายกำลังคุมการก่อสร้างอยู่อีกด้วย”
“จริงเหรอวะคมศร” นี่เราเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามาเฟียใหญ่เป็นเจ้าของห้างที่เราคุมงานก่อสร้างอยู่”
“ใช่แล้ว” นายดูนั่นสิ” มีคนมารับซองสีน้ำตาลนั่นไปแล้ว”
ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ก็ได้มีรถเก๋งเปิดประทุนขับมาจอดตรงชายฉกรรจ์สองคนเพื่อรับซองสีน้ำตาลนั้นไป
“แล้วสองคนที่อยู่บนรถนั่นเป็นใครกันวะเพื่อน”
ภาคภูมิถามเพื่อนด้วยความสนใจ แต่บังเอิญมือของภาคภูมิดันไปชนกับแก้วน้ำของคมศรเข้า แก้วน้ำจึงหล่นลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ คนที่อยู่บริเวณนั้นทั้งหมดหันมามองที่ชายหนุ่มทั้งสอง เพราะเสียงแก้วแตกดังสนั่นราวกับว่าใครกำลังมีเรื่องชกต่อยกัน รวมทั้งหญิงสาวที่อยู่บนรถเปิดประทุนคันนั้นด้วยเธอก็ตกใจและมองมาที่ชายหนุ่มทั้งสอง
“ไม่มีอะไรครับทุกคน” ขอโทษจริงๆครับ”
ภาคภูมิลุกขึ้นยกมือไหว้ขอโทษผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น พร้อมกับหันไปสบตาเข้ากับหญิงสาวในรถหรูเปิดประทุนคันนั้น
เจอหน้าลูกสาวมาเฟียครั้งแรก
“เฮ้ย! ภาคภูมิ” อย่าไปจ้องเธอแบบนั้น” เดี๋ยวนายก็โดนหรอก”
“นั่นแหละลูกสาวสุดที่รักของกำนันหาญหละ เธอชื่อคุณอลิสา ส่วนผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ช่วยกำนันหาญและเป็นหัวหน้าดูแลกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ทั้งหมด ชื่อนาย ชาวี”
“ชื่อคุณอลิสาเหรอ” รูปก็งามนามก็เพราะจังเลยคมศร”
“ถ้านายรักตัวกลัวตายอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลยภาคภูมิ เราเตือนนายแล้วนะ”
คมสอนเตือนสติภาคภูมิเพราะเป็นห่วงเพื่อนไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมาเฟีย แต่ดูภาคภูมิคงไม่ฟังอะไรซะแล้ว
“ดูคุณอลิสาเธอ ก็ไม่ได้โหดเหี้ยมอะไรนะคมศร รอยยิ้มของเธอช่างประทับใจเรามากเลยอ่ะ”
“ตายแล้ว ถ้านายคิดแบบนี้เท่ากับว่าขาข้างหนึ่งของนาย ลงไปอยู่ในโลงศพเรียบร้อยแล้วหละเพื่อน เพราะคนที่เขาลือว่าโหดเหี้ยมไม่ใช่คุณอลิสา แต่เป็นกำนันหาญพ่อของเธอต่างหากที่น่ากลัว ไหนยังจะมี นายชาวีอีกที่เขาลือกันว่าโหดเหี้ยมมาก และที่สำคัญนายชาวี ยังแอบชอบคุณอลิสาอีกด้วย แค่คิดนายก็หมดสิทธิ์แล้ว ภาคภูมิเอ้ย”
“แต่เราก็ยังอยากรู้จักอยากพูดคุยกับคุณอลิสาอยู่ดี ดูสายตาเธอแล้ว เธอก็คงไม่ได้หยิ่งมากหรอกเพื่อน ถ้าเราได้เข้าไปทำงานกับกำนันหาญ เราก็จะมีโอกาสได้เจอคุณอลิสาทุกวัน คมศรต้องช่วยเรานะเพื่อน”
“แล้วนายจะไปทำงานอะไรกับเขา” ลูกน้องกำนันหาญทุกคนมีแต่มาเฟียทั้งนั้นเลยนะ “
ถ้านายอยากทำงานแบบนั้นนายก็ต้องเป็นมาเฟียเหมือนกับเขา ซึ่งมันไม่มีคนดีๆ ที่ไหนเขาทำกันหรอก”
“เป็นความคิดที่ดีเลยเพื่อน ถ้าอย่างนั้นนายต้องช่วยให้เราได้เป็นมาเฟียนะคมศร ส่วนเรื่องงานก่อสร้างเราจะหาโอกาสแวะไปดูเอง”
“ฉันหละปวดหัวกับนายจริงๆ” เป็นวิศวกรอยู่ดีๆ อยากจะเป็นมาเฟียขึ้นมา เพราะผู้หญิงแท้ๆ เลยเพื่อนเรา ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้นายต้องแปลงโฉมให้ดูหน้าเข้มๆ โดยการเพิ่มหนวดเคราขึ้นมา จากนั้นเราจะพานายไปทำความรู้จักกับผู้ชายสองคนนั่น ที่ยืนคอยเก็บเงินเวลารถวิ่งผ่าน”
พอวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มทั้งสองก็ได้กลับมาที่เดิมอีกครั้งเพื่อจะได้ไปของานทำกับลูกน้องกำนันหาญ
“นายแต่งตัวแบบนี้ ก็ดูหล่อเข้มดีนะ ภาคภูมิ หวังว่านายจะได้ทำงานเป็นมาเฟียดังที่ตั้งใจนะเพื่อน ป๊ะ เดินไปหาผู้ชายสองคนนั้นกันดีกว่า”
“สวัสดีครับพี่ พี่ทั้งสองคนพอจะรู้จักคุณชาวี หรือเปล่า” คมศรยกมือสวัสดีชายฉกรรจ์สองคน
“รู้จักสิ แล้วนายสองคนถามหาคุณชาวี ทำไมกันล่ะ”
“พอดีเพื่อนผมมันตกงาน วุฒิการศึกษาก็ไม่มี จะหางานทำในตลาดก็ไม่มีใครรับ ก็เลยอยากมาของานทำกับคุณชาวี เผื่อจะมีงานให้ทำ รบกวนพี่สองคนพาพวกเราไปพบคุณชาวีได้หรือเปล่า”
“นายสองคนรอตรงนี้แหละซักพักคุณชาวีก็จะมาถึงตรงนี้ เพราะเขามาตรวจงานทุกเช้าอยู่แล้ว ว่าแต่หน้าหล่อๆอย่างเพื่อนนายจะทำงานอย่างพวกเราได้เหรอวะ เห็นคุณชาวี บอกให้หาคนมาคุมแผงแม่ค้าในตลาดอยู่พอดี ถ้าทำงานนี้ได้บอกเลยว่ารุ่งแน่นอน มีโอกาสได้เดินตามกำนันหาญเหมือนคุณชาวีเลยนะ จะบอกให้”
“ผมทำได้แน่นอนครับประสบการณ์ของผม เคยทำให้เด็กในซอยร้องไห้มาหลายคนแล้ว”
เสียงของภาคภูมิพูดการันตีความสามารถของตนเองให้ชายสองคนนั้นฟัง
“ทำไมเด็กถึงร้องไห้ล่ะ” นายไปแย่งขวดนมเด็กเหรอ”
คมศร พูดแซวเพื่อนจนชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ด้วยตรงนั้นอดขำไม่ได้
“พอได้แล้วนายสองคน เล่นเป็นตลกคาเฟ่เลยนะ โน่นไงคุณชาวีมาพอดี”
ทันใดนั้นรถเก่งเปิดประทุนคันหรู ก็ขับโฉบมาจอดตรงหน้าของลูกน้องเช่นทุกวัน
“รีบส่งมาได้แล้วเอ็งสองคนวันนี้ข้ารีบไปดูงานในตลาด แล้วยังต้องไปรับน้องอลิสาต่ออีกด้วย”
“นี่ครับนาย” เงินค่าผ่านทางทั้งหมดของเมื่อวานอยู่ในซองนี้นะครับ”
“โอเค งั้นข้าไปล่ะนะ”
“เดี๋ยวก่อนครับคุณชาวี อย่าพึ่งไปพอดีนายคนนี้เขามาหางานทำ ผมเห็นว่างานในตลาดยังไม่มีใครทำเผื่อคุณชาวีสนใจลูกน้องคนใหม่”
“แล้วนายชื่ออะไรล่ะ”
“สวัสดีครับคุณชาวี ผมชื่อภาคภูมิครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเอ็งสองคนพานายภาคภูมิไปดูงานในตลาดได้เลย ข้าจะได้ไม่ต้องเข้าไปให้เสียเวลา ข้ายิ่งรีบไปรับน้องอลิสาอยู่ เดี๋ยวไปไม่ทันเธอจะโกรธเอา”
นายชาวี อายุ 29 ปี เป็นคนจากบ้านเด็กกำพร้า ที่กำนันหาญรับมาอุปการะเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก จนตอนนี้ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลธุรกิจสีเทาทั้งหมดของกำนันหาญ ส่วนธุรกิจที่ใสสะอาดกำนันหาญจะดูแลด้วยตนเอง
จากนั้นชายฉกรรจ์สองคนก็ได้เดินไปส่งภาคภูมิที่ในตลาดเพื่อไปควบคุมดูแลและเก็บค่าเช่าแผงนั่นเอง ส่วนคมศรไม่ได้ตามไปด้วยเพราะต้องไปดูงานที่ยังติดปัญหาอยู่
“ภาคภูมิเรากลับก่อนนะตั้งใจทำงานล่ะมีอะไรก็โทรศัพท์มาหาเราได้”
“ฟังนะนายภาคภูมิ” นายสั่งให้นายไปดูแลตลาด และก็เก็บค่าเช่ามาให้ได้ทุกแผงนี่คืองานแรกของนายทำให้ได้นะแล้วคุณชาวีจะได้เชื่อฝีมือนาย”
วันแรกกับการเป็นมาเฟียฝึกหัด
พอวันถัดไปภาคภูมิก็ได้มาเดินตลาดคนเดียวเป็นวันแรก เพื่อจะเป็นมาเฟียเก็บค่าเช่าแผงในตลาดกับกลุ่มพ่อค้าแม่ขาย และนายชาวียังได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะต้องเก็บเงินมาให้ได้ทุกแผง ไม่มีการผ่อนผันหรือปราณีกับผู้เช่ารายใดทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้ตามนี้ถือว่านายภาคภูมิไม่ผ่านงาน พอมาเก็บค่าเช่าเป็นวันแรกนายภาคภูมิก็โดนแม่ค้าบางคนรับน้องเข้าให้ซะแล้ว
“หน้าตาก็ดีทำไมมาทำงานแบบนี้พ่อคุณเอ๊ย ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเงินแต่ละบาทกว่าพ่อค้าแม่ค้าจะได้มาลำบากแค่ไหน ต้องเอามาประเคนให้พวกนายทุนหน้าเลือด วันๆไม่ต้องทำมาหากินอะไรเดินแบมือขอเป็นขอทานเลยเชียว”
“ใจเย็นๆครับป้า” ผมเพิ่งมาช่วยงานเขาวันแรกอย่าด่าผมเลยครับ ได้โปรดให้ความร่วมมือผมด้วยนะครับ ไม่งั้นผมโดนไล่ออกตั้งแต่งานแรกเลยแน่ๆ” ชายหนุ่มยกมือไหว้แม่ค้าเพื่อขอความร่วมมือให้จ่ายค่าเช่าตามปกติเช่นทุกวัน
“ใครจะด่าก็ด่าไปครับ” แต่ได้โปรดลุงป้าน้าอา ช่วยกันจ่ายค่าเช่ามาให้ครบทุกแผงด้วยนะครับ
เพราะผมไม่อยากตกงาน ผมเองก็คนหาเช้ากินค่ำเหมือนกันกับลุงป้าน้าอานี่แหละครับ”
“อะไรวะวันนี้มาเฟียยกมือไหว้แม่ค้าพ่อค้าด้วย ถ้าพูดดีๆแบบนี้ก็โอเคนะ อ้าว พวกเราใครยังไม่จ่ายค่าเช่าแผง ช่วยมาจ่ายให้เขาหน่อยก็แล้วกัน อย่างน้อยเขาก็พูดจาดีไม่ข่มขู่ตะคอกใส่เหมือนที่ผ่านมา”
“พ่อหนุ่มเอ้ย” หน้าหล่อๆแบบนี้ไปเล่นลิเกเถอะลูก อย่ามาเป็นมาเฟียเลยคนเขาด่าตามหลังทุกวันนะ”
“ไม่ได้หรอกครับป้า” ผมมีความจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ”
หลังจากงานแรกของภาคภูมิได้สำเร็จไปด้วยดี นายชาวีก็เพิ่มงานให้รับผิดชอบอีกอย่างคือ คุมวินสองแถวกับวินมอเตอร์ไซค์ ภาคภูมิก็ทำงานได้ดีเก็บเงินมาให้นายชาวีได้ครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์
หลังจากการเก็บค่าคุ้มครองต่างๆตามที่นายชาวีให้งานไว้เสร็จสิ้นแล้ว นายภาคภูมิก็จะหาเวลาแว๊บไปดูไซต์งานที่เขาคุมการก่อสร้างอยู่ เนื่องจากไซต์งานนี้ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมาก หน้าที่ของวิศวกรจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไซต์งานบ่อยๆก็ได้ ภาคภูมิจึงมีเวลาในการเป็นมาเฟียฝึกหัดได้เต็มที่ อยู่มาวันหนึ่งกำนันหาญได้เรียกให้นายชาวีเข้าพบที่ห้องทำงานด่วน
“มีอะไรครับพ่อกำนัน” ผมเห็นเด็กมันบอกว่าพ่อกำนันต้องการพบด่วน”
“ มาแล้วเหรอชาวี” พอดีฉันจะไปคุยงานกับเพื่อนที่บ่อนคาสิโนแถวชายแดนทางภาคเหนือ ฉันก็เลยจะให้แกไปด้วย แกพอมีลูกน้อง ที่พอจะดูแลงานทั้งหมดได้ไหม รวมถึงคอยคุ้มครองอลิสาในระหว่างที่ฉันกับแกไม่อยู่”
“มีแค่ไอ้สองคนที่คอยโบกรถเก็บเงินนั่นแหละครับ ที่เป็นคนเก่าๆพอไว้ใจได้บ้าง นอกนั้นก็เป็นเด็กใหม่อยู่เลยครับพ่อกำนัน”
“แล้วแกให้ใครดูแลตลาดและวินรถอยู่ตอนนี้”
“เป็นเด็กใหม่ครับ” ชื่อนายภาคภูมิ ทำงานใช้ได้เลยครับ ผมเลยให้ดูแลทั้งตลาดและวินรถ”
“งั้นแกเรียกนายภาคภูมิมาพบฉันที่บ้านด่วนตอนนี้เลยนะ”
“ได้ครับเดี๋ยวผมให้เด็กไปตามให้ด่วนเลย”
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพี่ชาวีไว้ใจนายคนนี้มากเลยทีเดียว ถึงให้คุมงานตลาดกับวินรถ”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาในขณะที่นายชาวีให้เด็กออกไปตามตัวนายภาคภูมิ เสียงของอลิสานั่นเอง อลิสา อายุ27ปี เป็นลูกสาวคนเดียวของกำนันหาญกล้า ด้วยความที่เธอถูกมองว่าเป็นลูกสาวมาเฟีย เธอจึงไม่ค่อยมีเพื่อนและก็ไม่มีหนุ่มๆหน้าไหนกล้าจีบเธอเลย เวลาจะออกไปข้างนอกบ้านกำนันหาญ ก็จะให้ชาวีเป็นคนพาไปส่ง คนในตลาดเห็นก็คิดว่า อลิสากับชาวี เป็นแฟนกัน แต่ความจริงแล้วอลิสาคิดกับชาวีเหมือนพี่ชายแท้ๆ เพราะโตมาพร้อมกัน ส่วนชาวีน่าจะแอบชอบอลิสาอยู่มากเลยเดียว แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเท่าไหร่เพราะเกรงใจกำนันหาญ
“อลิสามาก็ดีลูก พ่อจะแนะนำลูกน้องของชาวีให้รู้จัก ในระหว่างที่พ่อกับชาวีไม่อยู่ พ่อจะฝากนายคนนี้แหละให้เข้ามาคอยคุ้มครองลูกที่บ้านด้วย”
“นายคนนี้เพิ่งจะมาทำงานไม่ใช่เหรอคะพ่อ ไว้ใจได้หรือเปล่าคะพี่ชาวี”
“ตอนนี้เราไม่มีใครเลยครับน้องอลิสา มีนายภาคภูมินี่แหละ ถึงจะเป็นเด็กใหม่ แต่พี่ลองให้งานใหญ่ๆทำ มันก็ทำได้ดีเลยทีเดียวหละ”
“นายภาคภูมิมาแล้วครับพี่ชาวี”
“เรียกเข้ามาเลยพ่อกำนันรออยู่”
ภาคภูมิหนุ่มวิศวะในคราบมาเฟียฝึกหัด เขาตัดสินใจย่างกรายเข้ามาในดงเสือก็เพื่อสิ่งเดียวคือ ความน่ารักของลูกเสือนั่นเอง
เดินเข้าดงเสือ
“สวัสดีครับพ่อกำนันหาญกล้า สวัสดีดีครับคุณชาวี สวัสดีครับคุณหนูอลิสา ผมชื่อนายภาคภูมิครับ” เห็นคนไปตามผมด่วนว่าคุณชาวีเรียกมาพบ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณชาวี”
“คืออย่างนี้นะ ฉันกับชาวีไปทำธุระด่วนแถวชายแดนกว่าจะกลับก็ประมาณสามเดือน นายคือคนที่ชาวีเรียกมาเพราะเขาเชื่อฝีมือนาย”
“ผมต้องทำอะไรบ้างครับคุณชาวี”
“สิ่งที่นายต้องทำนับจากนี้คืองานใหญ่ เพราะพ่อกำนันจะให้นายดูแลงานทั้งหมดแทนเรา ในช่วงเวลาที่เราติดตามพ่อกำนันไปทำธุระสามเดือน ไม่เพียงเท่านี้นะ นายต้องคอยกำกับดูแลลูกน้องเราทุกคนด้วย และที่สำคัญที่สุดนายต้องเข้ามากำกับดูแลความปลอดภัยในบ้านของพ่อกำนันด้วยตนเองนะ รวมถึงการดูแลรับใช้น้องอลิสาอีกด้วย”
“อย่าเรียกว่ารับใช้น้องเลยค่ะพี่ชาวีให้งานเขาเยอะขนาดนั้นเขาจะทำไหวหรือเปล่าพี่ถามเขายัง”
“ผมทำได้ครับคุณหนู ต้องขอบคุณพ่อกำนันกับคุณชาวีมากกว่าที่ให้เกียรติ ไว้ใจผมได้ทำงานใหญ่เช่นนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับ”
“ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหนูหรอกนะ เรียกคุณอลิสาก็พอ นายช่วยทิ้งเบอร์มือถือไว้ด้วยนะระหว่างที่คุณพ่อกับพี่ชาวีไม่อยู่ เผื่อฉันต้องการความช่วยเหลือเวลาจะออกจากบ้านเพราะฉันขับรถไม่เป็น ว่าแต่นายขับรถได้ใช่ไหม นายภาคภูมิ”
“ขับได้ครับคุณอลิสา นี่ครับเบอร์โทรศัพท์ของผม คุณอลิสาเรียกใช้ผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างมีความสุขที่เขากำลังได้เข้าใกล้ผู้หญิงคนที่เขาหลงรัก และเขายังไม่รู้ตัวว่ากำลังมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับตามองเขาอยู่ นั่นคือชาวีที่กำลังมองมาที่ภาคภูมิ อยู่ เป็นเพราะความหล่อเข้มของภาคภูมิทำให้ชาวีหวาดระแวงว่าน้องอลิสาของเขาจะหวั่นไหว เขาจึงเดินมาแนบข้างลำตัวนายภาคภูมิพร้อมกระซิบใส่หูนายภาคภูมิว่า…
“นายแค่ขับรถรับส่งเธอเท่านั้นนะ ห้ามยุ่งกับน้องอลิสาเด็ดขาด พ่อกำนันเอาแกตายนะ ฉันจะบอกให้”
“มีอะไรคะพี่ชาวี”
“อ๋อไม่มีครับ น้องอลิสา” แค่สั่งงานนายภาคภูมิเอาไว้”
“โอเคถ้านายภาคภูมิรับปากว่าทำงานได้ก็แยกย้ายกันไปทำงานได้ ชาวีก็ไปเตรียมตัวเดินทางเย็นนี้เลย ส่วนนายภาคภูมิ ฉันขอให้นายตั้งใจทำงานดูแลทุกอย่าง ภายใน3เดือนนี้ให้งานเรียบร้อยนะ”
กำนันหาญได้สั่งงานต่างๆเอาไว้ก่อนที่ตนเองจะไม่อยู่บ้าน จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง พอวันรุ่งขึ้นภาคภูมิก็ได้เข้าไปในตลาดเพื่อสั่งงานลูกน้องแทนนายชาวี ด้วยการที่ภาคภูมิเป็นคนมีประสบการณ์ทำงานเป็นวิศวกรที่มีลูกน้องเยอะแยะอยู่แล้ว เขาจึงใช้ความสามารถในการบริหารคนให้กระจายออกไปทำหน้าที่ต่างๆเป็นสัดส่วนได้ดี และภาคภูมิยังเป็นคนที่พูดจาดี พูดเพราะกับลูกน้องบางครั้งภาคภูมิยังยกมือไหว้ลูกน้องคนที่มีอายุมากกว่าตนอีกด้วย
ซึ่งต่างจากชาวีที่ถือว่าตนเป็นเด็กเส้นของกำนันหาญ เวลาสั่งงานลูกน้องจึงใช้แต่กำลังอำนาจขมขู่ ลูกน้องบางคนทนไม่ไหวก็เลิกคบเลิกยุ่งกับงานไปเลย ดังนั้นเวลานี้ลูกน้องชาวีจึงมีความสุขในการทำงานมากเพราะนายไม่อยู่ แต่พวกเขาก็ยังเชื่อฟังและเกรงใจภาคภูมิอยู่เช่นกันกัน เพราะภาคภูมิวางตัวเป็น จึงน่าเคารพนับถือ
หลังจากที่ภาคภูมิสั่งงานในตลาดเสร็จเขาก็ได้เข้าไปที่บ้านกำนันหาญ เพื่อไปดูแลความเรียบร้อย และเผื่อคุณอลิสาจะให้ช่วยงานอะไร
ทุกอย่างกำลังเข้าแผน
“นายเข้ามาก็ดีเลย ฉันกำลังจะโทรศัพท์ไปเรียกอยู่พอดี”
“คุณอลิสามีงานอะไรให้ผมช่วย บอกมาได้เลยครับ”
งานไม่มีหรอก” ว่าแต่นายทำงานของตนเองเสร็จแล้วยัง ถ้าทำงานเสร็จแล้วช่วยขับรถให้ฉันหน่อย ฉันอยากออกไปเที่ยวข้างนอกบ้างอยู่แต่ในบ้านจนเบื่อแล้ว”
“ได้ครับคุณอลิสาผมว่างพอดี”
ชายหนุ่มรีบวิ่งไปเปิดประตูรถเก๋งให้หญิงสาวขึ้นไปนั่ง ก่อนที่ทั้งสองจะได้เคลื่อนรถออกจากตัวบ้านอย่างช้าๆ
“คุณอลิสาจะให้ผมไปส่งตรงไหนครับ”
“ขับไปเรื่อยๆก่อนฉันเองยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน”
“อยู่บ้านคนเดียวแบบนี้คุณอลิสาคงเหงาและเบื่อ “
“ไม่ลองไปหาเพื่อนดูครับจะได้มีเพื่อนคุยเพื่อนเที่ยว”
ชายหนุ่มกำลังแนะนำหญิงสาวที่กำลังออกจากบ้านแต่ไม่รู้จะไปไหน โดยที่หารู้ไม่ ว่าเธอไม่มีเพื่อนที่ไหนเลย
“ฉันไม่มีเพื่อนสักคนนายไม่รู้หรอกเหรอ”
“คุณอลิสาหมายว่าไงครับ” ว่าไม่มีเพื่อนสักคนเลย ลูกสาวเจ้าพ่อมาเฟียอย่างที่ใครๆเขาพูดกันนายคิดว่าเพื่อนคนไหนเหรอจะกล้ามาคบกับฉัน อย่าว่าแต่เพื่อนเลยผู้ชายยังไม่มีใครกล้ามาจีบเลยเหมือนกัน ถ้าเป็นนายจะกล้าจีบฉันไหมล่ะ”
“ผม…อืม..” กำนันหาญคงจะดุและโหดมากจนไม่มีใครกล้ายุ่งกับลูกสาวเลยเหรอครับ”
ชายหนุ่มพูดอ้ำอึ้งเกือบหลุดปากพูดไปว่ากล้าจีบ
“นั่นมันในสายตาของคนทั่วไปและลูกน้องของพี่ชาวีเขามองว่าพ่อเป็นมาเฟียที่โหดเหี้ยม แท้จริงแล้วคุณพ่อเป็นคนใจดีมากๆ ตั้งแต่คุณแม่เสียไปตอนฉันจำความยังไม่ได้ ก็เจ้าพ่อมาเฟียคนนี้แหละที่อุ้มชูเลี้ยงดูฉันอย่างประคบประหงม จนเติบโตโดยไม่ได้จ้างพี่เลี้ยงเลย”
“ผมเองก็ไม่รู้เรื่องภายในอะไรหรอกนะครับ แต่จากการได้พูดคุยกับพ่อกำนันแล้ว ผมว่าท่านพูดจาสุขุมใจเย็นและดูอบอุ่นมากเลยครับ”
“นายตาถึงมาก คุณพ่อเป็นคนใจเย็นไม่เคยใช้อำนาจข่มขู่ลูกน้อง ซึ่งต่างจากพี่ชาวีรายนั้นแหละที่ชอบข่มขู่ชาวบ้านและลูกน้องเป็นประจำ คนเขาจึงคิดว่ากำนันหาญก็น่าจะโหดกว่าพี่ชาวีอีก”
“ผมเข้าใจและเห็นใจคุณอลิสานะครับถ้าคุณอลิสาไม่รังเกียจผมช่วยรับผมเป็นเพื่อนสักคนได้ไหมครับ”
ชายหนุ่มแสดงความอ่อนโยนต่อหญิงสาวเพื่อให้เธอไว้ใจและรับเป็นเพื่อน หญิงสาวผู้ที่ไม่เคยมีเพื่อนที่ไหน วันๆอยู่แต่ในบ้านมีแต่ผู้ชายหน้าตาดุดันไม่มีความอ่อนโยนกันเลยสักคน จะไปไหนมาไหนมีแต่คนมองว่าเป็นลูกสาวมาเฟีย
“ได้สิ ฉันรับนายเป็นเพื่อนก็ได้ นายพูดแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่า”
หญิงสาวถามแบบเขินๆพร้อมอมยิ้มค้างไว้จนหน้าแดง เพราะไม่เคยมีใครทำกับเธอแบบนี้มาก่อน
“ผมเพิ่งขอคุณอลิสาเป็นเพื่อนคนแรกเลยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้นายพาฉันไปเที่ยวตลาดตรงที่นายกับพี่ชาวีทำงานหน่อยได้ไหม เผื่อวันไหนว่างจะได้มาช่วยงานพี่ชาวีกับนายได้”
“ได้เลยครับเดี๋ยวผมจะพาคุณอลิสาไปดูงานในตลาดกับวินรถที่ผมทำอยู่”
จากนั้นชายหนุ่มก็ได้พาลูกสาวเจ้านายอย่างกำนันหาญมาเดินชมตลาดตรงที่คุณพ่อของเธอเก็บเงินค่าเช่าแผงอยู่ พอเข้าไปในตลาดชายหนุ่มก็ได้ยกมือไหว้ทักทายพ่อค้าแม่ค้าเป็นปกติที่เคยทำทุกวัน กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าก็ยกมือไหว้ตอบ พร้อมพูดทักทายสวัสดีชายหนุ่มอย่างนอบน้อมและเคารพนับถือ
อลิสาเธอไม่เคยเห็นและไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน เธอเห็นนายภาคภูมิยกมือไหว้พ่อค้าแม่ขาย เธอจึงทำตาม
“สวัสดีค่ะลุงป้าน้าอาทุกคน”
จากนั้นกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าก็ยกมือไหว้ตอบเธอพร้อมยิ้มทักทายอย่างกันเองเช่นเดียวกัน กับที่ทำกับนายภาคภูมิ
“สวัสดีค่ะ คุณคนสวย อ้าว พวกเรามาดูแฟนคุณภาคภูมิกันเร็วสวยและน่ารักมากเลย ทั้งหล่อทั้งสวยเหมาะสมกันมากๆ”
เสียงของแม่ค้าคนหนึ่งพูดขึ้นในขณะที่อลิสากำลังยกมือไว้เธอ
“ ไม่ใช่อย่างนั้นครับป้า” นี่คุณอลิสาลูกสาวของ…” หญิงสาวรีบสะกิดชายหนุ่มไม่ให้บอกว่าเธอเป็นใคร
“ไม่เป็นไรครับคุณอลิสา ขอให้ไว้ใจผม”
จากนั้นนายภาคภูมิจึงได้ประกาศกลางตลาดว่าหญิงสาวผู้นี้เธอคือลูกสาวของกำนันหาญซึ่งเป็นเจ้าของตลาดที่ทุกคนเช่าแผงขายของอยู่นั่นเอง ต่อไปคุณอลิสาเธอจะมาเยี่ยมลุงป้าน้าอาในตลาดบ่อยๆ ขอความร่วมมือทุกคนช่วยกันดูแล และอำนวยความสะดวกให้เธอด้วย เธอเป็นคนเรียบร้อยและอ่อนโยน เรื่องต่างๆที่ผ่านมาเธอไม่เคยรู้อะไรมาก่อน จากนี้ไปเธอจะมาสนับสนุนพวกเราทุกคนในทุกๆด้าน”
จากนั้นเสียงแม่ค้าพ่อค้าในตลาดก็เฮลั่น เพราะทุกคนรักและเชื่อมั่นในตัวนายภาคภูมิอยู่แล้ว
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณหนูอลิสาทั้งสวยและน่ารักเป็นกันเองกับทุกคน
“นี่ขนาดเธอเป็นถึงคุณหนูลูกเจ้าของตลาดและที่ดินทั้งหมดในย่านนี้ เธอยังยกมือไหว้พ่อค้าแม่ค้าอย่างเราๆเลย”
ทำเอาหญิงสาวเขินจนหน้าแดง เธอรู้สึกมีความสุขและมีคุณค่าขึ้นมาเลย
จากที่แต่ก่อนไปไหนมาไหนกับนายชาวี มีแต่คนหน้าบึ้งเบะปากใส่
“นายภาคภูมิ” นายทำให้ฉันมีวันนี้ ฉันรู้สึกว่ามีความสุขมาก ดูทุกคนไม่รังเกียจฉันเลย มีแต่คนชื่นชมและยิ้มให้”
“ผมอยากให้คุณอลิสามีความสุขและยิ้มสวยๆแบบนี้ทุกวันครับ”
“นายก็พาฉันมาทำงานด้วยทุกวันสิ เพราะอยู่บ้านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เหงาก็เหงาเหมือนกับคนไร้ค่า”
“ผมเห็นคุณอลิสายิ้มแบบนี้ผมก็มีความสุขเหมือนกันครับ”
จากนั้นนายภาคภูมิก็ได้พาอลิสาไปดูงานในพื้นที่ต่างๆทั้งวัน กว่าจะได้กลับเข้าบ้านก็ตกเย็นพอดี
“เดี๋ยวนายเข้าไปส่งฉันแล้วเอารถกลับบ้านไปเลยก็ได้พรุ่งนี้จะได้มารับฉันไปทำงานด้วย”
จากนั้นหญิงสาวก็ได้กลับเข้าบ้าน ส่วนภาคภูมิก็นำรถคันดังกล่าวกลับบ้านไปด้วย เพราะพรุ่งนี้ต้องขับมารับอลิสาไปทำงานด้วยตามที่เธอนัดเอาไว้ หลังจากอาบน้ำกินข้าวเสร็จอลิสาก็ได้เข้าห้องนอน เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพบว่า มีข้อความไลน์เข้ามาจึงได้เปิดอ่าน
“หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์ครับคุณอลิสา”
นายภาคภูมินี่เองที่ส่งข้อความมาหาหญิงสาว ถึงจะเป็นข้อความสั้นๆ แต่ก็ทำให้เธอนอนยิ้มหวานอยู่คนเดียวได้ เพราะเธอไม่เคยได้รับข้อความแบบนี้จากใคร และไม่มีใครกล้าทำแบบนี้กับเธอด้วย เธอจึงตอบข้อความกลับไปหาชายหนุ่ม
“ฝันดีค่ะ” พรุ่งนี้มารับด้วยนะคะ” จากนั้นหญิงสาวจึงพูดเบาๆคนเดียวบนที่นอนว่า
“ นายภาคภูมิ” นายทำให้ฉันรู้สึกดีจังเลย ฉันไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน”
หลังจากวันนั้นมาภาคภูมิกับอลิสาก็ได้ไปทำงานในตลาดด้วยกันทุกวัน บางวันอลิสาก็เป็นคนสั่งงานลูกน้องเองโดยมีนายภาคภูมิคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ วันนี้ก็เช่นกันเธอประกาศสั่งงานกลุ่มชายฉรรจ์ที่เคยเป็นลูกน้องของชาวีกลางตลาดว่า
“ขอความร่วมมือพี่ๆทุกคนให้ปฏิบัติงานอย่างมีคุณธรรม” และอลิสาขอร้องพี่ๆทุกคนว่าอย่าใช้ความรุนแรงในการทำงาน”
หญิงสาวยังได้ประกาศกับกลุ่มแม่ค้าพ่อค้าอีกว่าหลังจากที่กำนันหาญกับพี่ชาวีกลับมา เธอจะช่วยพูดให้ลดค่าเช่าแผงในตลาดลงอีกด้วย ทำให้ทุกคนในตลาดต่างก็ชื่นชมและขอบคุณเธอที่เข้ามาดูแลด้วยตนเอง และยังเห็นอกเห็นใจคนทำมาหากินอีกด้วย จากนั้นนายภาคภูมิจึงได้พูดขอบคุณแทนทุกคนในตลาด
“พวกเราทุกคนต้องขอขอบคุณกำนันหาญและคุณอลิสาไว้ล่วงหน้านะครับ อุตส่าห์จะลดค่าเช่าแผงลงให้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยนะครับ”
“ฉันก็ขอบคุณนายเหมือนกันที่ช่วยคิดเรื่องดีๆและคำพูดดีๆ จนทำให้ทุกคนยอมรับในตัวฉัน”
เรื่องงานทุกอย่างที่กำนันหาญและชาวีฝากไว้กับนายภาคภูมิกำลังดำเนินการไปด้วยดี และอีกไม่นานอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนเรื่องของภาคภูมิและอลิสาก็เช่นกันความสัมพันธ์ของคนทั้งสองกำลังพัฒนาไปเรื่อยๆแบบไม่รู้ตัว
อยู่มาวันหนึ่งหญิงสาวได้ถามไถ่ถึงครอบครัวของภาคภูมิเพราะเธอกำลังหลงรักภาคภูมิเข้าแล้ว เธอจึงเริ่มสนใจเรื่องส่วนตัวของชายหนุ่ม ภาคภูมิเป็นลูกชายคนเดียวของป้าดา ส่วนพ่อของภาคภูมิเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตั้งแต่ภาคภูมิยังจำความไม่ได้
ป้าดาอายุ 55ปี มีอาชีพเปิดร้านขายกาแฟเพราะลูกชายและหลานชายต่างก็จบวิศวกรมา ก็เลยดัดแปลงบ้านหลังเดิมให้กลายเป็นบ้านสวนกาแฟรีสอร์ต ที่อยู่ใจกลางเมืองอีกด้วยไม่เพียงแต่เป็นบ้านสวนกาแฟอย่างเดียวพื้นที่โดยรอบยังตกแต่งให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด เหมาะแก่การเข้าไปพักผ่อนทั้งกลางวันและกลางคืนเลยทีเดียว ส่วนหลานชายป้าดาที่ว่าจบวิศวกรเหมือนกัน ก็คือนายคมศรเพื่อนของภาคภูมินั่นเอง เพราะพ่อแม่ของนายคมศรเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ในเหตุการณ์เดียวกันกับพ่อของนายภาคภูมินั่นแหละ ป้าดาแกจึงรับนายคมศร มาเลี้ยงดูส่งเสียจนโตมาพร้อมกันกับนายภาคภูมิ ทั้งสองคนจึงรักใคร่กันทั้งแบบเพื่อน ทั้งแบบพี่น้องกัน
“ถ้าคุณอลิสาอยากรู้จักครอบครัวผมจริงๆ ผมก็จะพาไปเยี่ยมคุณแม่ผมที่บ้านสวนครับ ว่าแล้วก็ไปเย็นนี้เลยผมก็คิดถึงแม่ขึ้นมาเหมือนกัน”
แผนกำลังจะแตกแล้ว
ชายหนุ่มตัดสินใจจะเปิดเผยความจริงให้หญิงสาวรู้ เพราะสักวันเธอก็คงจะรู้ความจริงอยู่ดี จากนั้นเขาจึงพาหญิงสาวขึ้นรถแล้วขับตรงไปที่บ้านสวนกาแฟรีสอร์ต ก่อนจะเข้าไปถึงภาคภูมิก็ได้โทรศัพท์แจ้งคมศรและป้าดา ผู้เป็นแม่เอาไว้ก่อนว่าจะพาคุณอลิสาไปด้วย
ณ ที่บ้านสวนกาแฟรีสอร์ตบ้านของป้าดา
“คุณอลิสาครับ นี่คุณแม่ของผม นี่นายคมศร เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งพี่น้องของครับ”
“สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะ คุณคมศร”
“เรียกผมนายคมศรก็พอครับ คุณอลิสา”
“นายคมศร ทำไมอลิสาคุ้นๆหน้านายจังเลย เหมือนเคยเห็นที่ไหน”
“แล้วคุณอลิสาไม่คุ้นหน้านายภาคภูมิมั่งเหรอครับ คุณดูหน้านายภาคภูมิดีๆสิครับ”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้มองหน้านายภาคภูมิ ชายหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้น
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับเดี๋ยวกลับมาสารภาพ”
“นี่อะไรกันคะคุณแม่”
“แม่ขอตัวไปเตรียมมื้อเย็นไว้ให้ก่อนนะลูก หนูอลิสาอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันกับแม่ก่อนนะ”
หญิงสาวกำลังงง ว่ามันเกิดเรื่องอะไรทำไมไม่มีใครยอมพูด
“มันเรื่องอะไรคะ” นายคมศร นายพูดมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“อืม…คือ…เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ คุณจำวันนั้นได้มั้ย” วันที่คุณนั่งรถเปิดประทุนมากับนายชาวี เพื่อมารับส่วยจากลูกน้องสองคนอยู่ริมถนน แล้ววันนั้นอยู่ๆก็มีเสียงแก้วแตกดังเปรี้ยง จนทำให้คุณตกใจหันมามองแล้วยิ้มให้ผู้ชายสองคนที่อยู่ริมฟุตบาทที่เป็นคนทำแก้วตกแตก”
“พวกนายคือสองคนนั้น” นายภาคภูมิทำแก้วตกแตก”
“ใช้แล้วครับนายภาคภูมิได้เห็นรอยยิ้มของคุณก็เลยตกหลุมรักตั้งแต่นั้นมา เพราะเขามั่นใจในสิ่งที่เห็นว่าคุณอลิสา ไม่ได้เป็นอย่างที่คนทั่วไปมอง จนไม่มีใครกล้าเป็นเพื่อน ไม่มีใครกล้าคบหากับคุณอลิสา ผมเตือนสติเขาหลายครั้งเพราะกลัวนายชาวีและกำนันหาญคุณพ่อของคุณจะเล่นงานเอา แต่เขาก็ไม่ฟัง นี่แหละครับที่เขาบอกว่าความรักมันทำให้คนตาบอด น่าจะจริง จากนั้นนายภาคภูมิก็วางแผนปลอมตัวเป็นมาเฟียเพื่อจะไปของานทำกับนายชาวี หวังเพื่อจะได้พบคุณอลิสาอีกครั้ง ผมถามว่าถ้าเขาจับได้ นายไม่กลัวตายเหรอ” เขายังยืนยันคำเดิมว่าต้องได้พบคุณอีกครั้งถึงตายก็ยอม “
หญิงสาวได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาตั้งแต่ต้นจนจบถึงกับซึ้งจนบ่อน้ำตาแตก เธอไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลก
“ยังมีคนแบบนี้อยู่ด้วยเหรอคะ”
“ผมขอโทษที่โกหกคุณนะครับ คุณอลิสา”
ชายหนุ่มที่เข้าไปแอบอยู่ในห้องน้ำก็ได้ออกมาในจังหวะที่หญิงสาวกำลังซึ้งอยู่
หญิงสาวมองไปเห็นชายหนุ่มตอนที่ไม่มีหนวดเครา เธอตื้นตันจนแทบหัวใจหยุดเต้น เธอจึงปล่อยโฮ.. ออกมาพร้อมโผเข้าสวมกอดชายหนุ่ม
“ฉันไม่โกรธนายเลยสักนิด นายทำเพื่อฉันมากมายขนาดนี้ ที่นายทำมาทั้งหมดเพราะนายรักฉันใช่ไหม นายภาคภูมิ”
“ใช่แล้วครับ ผมหลงรักคุณอลิสาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ รอยยิ้มคุณอลิสาทำให้ผมมั่นใจว่า ผมจะได้รับโอกาสจากคุณ ผมจึงวางแผนขึ้นทั้งหมดเพื่อจะได้พบคุณอีกครั้งหนึ่ง
“นายทำสำเร็จแล้ว เพราะฉันก็รักนายเหมือนกัน ที่จริงฉันก็ชอบนายตั้งแต่แรกเช่นกันจึงได้ยิ้มให้ แต่คิดว่าคงไม่มีใครมาชอบลูกสาวมาเฟียอย่างฉันหรอกจึงเลิกคิดไป”
หนุ่มสาวกอดกันแน่นต่างคนก็ต่างสารภาพรักกัน อย่างหวานซึ้งจนทำให้นายคมศรกับป้าดาที่ยืนดูอยู่ ถึงกับเขินไปเลย พอดีกับตอนนี้ที่ป้าดาได้ทำอาหารเย็นเสร็จแล้วพอดี คมศรจึงพูดขึ้นขัดจังหวะของคนทั้งสอง
“ที่จริงแล้วนายคมศรทำงานเป็นวิศวกรคุมงาน การก่อสร้างห้างสรรพสินค้า ที่กำนันหาญคุณพ่อของคุณอลิสาเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วยนะครับ“
“คุยกันจบแล้วหรือยังเด็กๆ แม่ทำอาหารเสร็จแล้วนะ เดี๋ยวอาหารเย็นก่อนพอดี ภาคภูมิพาหนูอลิสามากินข้าวด้วยกันลูก” ป้าดาพูดขึ้นหลังจากที่ทุกอย่างได้ลงเอยเรียบร้อยแล้ว
หลังจากได้กินข้าวมื้อเย็นที่แสนอร่อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งรับอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้านสวน ตรงระเบียงบ้าน ทุกคนต่างก็คุยกันอย่างครื้นเครงมีความสุข โดยเฉพาะอลิสาที่เธอไม่เคยได้รับความสุขแบบนี้มาก่อนเลย
“ภาคภูมิ” แล้วนายจะทำยังไงต่อไป ยังอยากจะเป็นมาเฟียต่ออีกไหม”
“ผมจะสารภาพทุกอย่างกับกำนันหาญพ่อของคุณอลิสาเอง ถ้าท่านให้ทำงานต่อก็จะทำครับ แต่ถ้าท่านโกรธเรื่องที่ผมวางแผนเพื่อเข้าไปหาคุณ ผมคงจะกลับมาช่วยงานแม่ที่บ้านครับ”
“นายนี่ใจกล้าจริงๆ” แต่นายก็ทำให้ฉันมีความสุข ทำให้ฉันยิ้มได้อย่างภาคภูมิใจเวลาไปเดินตลาด ไม่ต้องห่วงเรื่องของคุณพ่อนะฉันจะช่วยพูดกับคุณพ่อเอง เป็นห่วงก็แต่พี่ชาวี ไม่รู้จะคิดอย่างไรถ้ารู้ความจริง ว่านายวางแผนเพื่อเข้ามาจีบฉัน จริงๆแล้วถ้านายไม่ทำแบบนั้นเราสองคนก็คงไม่ได้สนิทกันแบบนี้ แต่ฉันชอบนายภาคภูมิที่เป็นวิศวกรมากกว่านะ แต่นายก็มีความสามารถ ที่นำความรู้มาบริหารงานของมาเฟียได้อีกด้วย ไม่แน่นะคุณพ่ออาจจะถูกใจนายและให้นายทำงานแทนพี่ชาวีก็ได้ พรุ่งนี้ช่วงเย็นคุณพ่อกับพี่ชาวีก็กลับถึงบ้านแล้วเดี๋ยวนายไปหาฉันที่บ้านนะ แล้วค่อยเข้าไปหาคุณพ่อด้วยกัน”
“ครับคุณอลิสา วันนี้คุณไปนอนกับคุณแม่นะครับ ป่านนี้แม่คงเตรียมที่นอนให้แล้วผมขอนอนเล่นกับนายคมศรตรงระเบียงนี่ก่อน ไม่ได้คุยกันนานละ”
“คงไม่ได้คิดจะวางแผนอะไรกันอีกนะคะหนุ่มๆทั้งสอง”
หญิงสาวหันกลับมาแซวพร้อมรอยยิ้มหวานๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องไปนอน พอรุ่งเช้าภาคภูมิก็ได้ไปส่งอลิสาที่บ้านพร้อมเอารถไปเก็บด้วย เพราะช่วงเย็นวันนี้กำนันหาญก็กลับมาแล้ว
“ภาคภูมิ เลิกงานแล้วเข้ามาหาคุณพ่อกันนะ”
หญิงสาวกำชับชายหนุ่มเพราะอยากจะคุยเรื่องต่างๆกับผู้เป็นพ่อด้วย พอตกช่วงเย็นกำนันหาญกับนายชาวีก็ได้กลับถึงบ้าน และได้สอบถามเรื่องงานต่างๆกับลูกน้องที่อยู่ประจำในบ้าน คำตอบที่ได้คือ เป็นที่น่าพอใจกำนันหาญมาก เพราะลูกน้องของนายชาวีทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นายภาคภูมิทำงานได้ดี ทุกคนต่างก็รักและเชื่อฟังนายภาคภูมิเพราะเขาพูดจาดีดูเป็นผู้ใหญ่อีกด้วย
ด้านอลิสาก็พูดเสริมอีกว่า
“นายภาคภูมิเขาเหมือนนักบริหารมืออาชีพเลยค่ะพ่อเขาสามารถบริหารคนของพี่ชาวีได้ และงานต่างๆเขาก็ดูแลได้ทั้งหมด วันนั้นลูกไปที่ตลาดกับนายภาคภูมิ มีแต่คนรักและยกมือไหว้ลูก คนในตลาดเขาไม่รังเกียจลูกกับคุณพ่อเลยนะคะ ซึ่งต่างจากตอนที่ไปกับพี่ชาวีมีแต่คนมองตาขวางแล้วสุมหัวกันพูดซุบซิบ บางคนถึงกับเบะปากใส่ต่อหน้าเลยนะพ่อ”
“พอสิ้นเสียงของหญิงสาวนายภาคภูมิก็มาถึงพอดี”
“ขอโทษที่มาต้อนรับช้านะครับพ่อกำนัน ขอโทษนะครับคุณชาวี”
ท่ามกลางดงเสือ
ชายหนุ่มเดิมตรงเข้ามาพร้อมยกมือไหว้ขอโทษมาด้วย นายชาวีเห็นภาคภูมิเข้ามาถึง ก็ปรี่เข้าหาหวังจะต่อยหน้านายชาวี เพราะนายภาคภูมิทำให้น้องอลิสาออกปากชม และลูกน้องของตนทุกคนก็ต่างชื่นชมนายภาคภูมิเป็นเสียงเดียวกัน
“นี่นายกล้าดียังไง ถึงได้พาน้องอลิสาไปเดินตลาด”
แต่จังหวะนั้นนายภาคภูมิหลบทันจึงไม่ถูกนายชาวีต่อย
“หยุดเดี๋ยวนี้นะชาวี”
“หยุดเลยนะพี่ขาวี”
กำนันหาญและลูกสาวพูดขึ้นพร้อมกัน เพื่อห้ามไม่ให้นายชาวีทำร้ายภาคภูมิ
“ในเมื่อทุกคนต่างก็ชื่นชมว่านายภาคภูมิทำงานได้ดี รวมทั้งอลิสาก็ยังชมว่าทำงานดี แล้วเหตุผลอะไรชาวีถึงไปทำร้ายภาคภูมิเขา แทนที่จะชื่นชมที่เขาดูแลงานให้จนเรียบร้อย”
จากนั้นอลิสาจึงได้เล่าถึงภาคภูมิว่าเคยเป็นวิศวกรอีกด้วย
“นายภาคภูมิเขาเป็นวิศวกรที่คุมงานก่อสร้างห้างสรรพสินค้าที่คุณพ่อเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่อยู่ค่ะเพราะเขามีความรู้ความสามารถเขาจึงบริหารงานต่างๆของพี่ชาวีได้ดี และที่สำคัญคนที่เช่าแผงตลาดเราอยู่ก็ดี เช่าวินรถอยู่ก็ดี ทุกคนต่างก็เต็มใจจ่ายให้เราโดยไม่ต้องใช้อำนาจและกำลังไปข่มขู่พวกเขาเหมือนที่ผ่านมาเลยนะพ่อ
“เป็นความจริงหรือเปล่านายภาคภูมิ” กำนันหาญถามเสียงเข้ม
“เป็นถึงวิศวกรคุมการก่อสร้างไซต์งานขนาดใหญ่แบบนั้นก็แสดงว่ามีความสามารถมากอยู่พอควร แล้วทำไมถึงอยากมาเป็นมาเฟียล่ะ”
จากนั้นนายภาคภูมิจึงได้สารภาพตั้งแต่ต้นว่าได้หลงรักคุณอลิสา จนถึงตอนได้พาคุณอลิสาไปกราบคุณแม่ของตนมาแล้ว
“แบบนี้เอาไว้ไม่ได้แล้วนะพ่อกำนัน”
นายชาวีได้ฟังเรื่องราวจนหมด ถึงกับควันออกหูเลยทีเดียว เขาทำท่าขึงขังใส่ภาคภูมิอีกครั้ง แต่ถูกกำนันหาญ ปรามเอาไว้อีก
“ผมต้องกราบขอโทษพ่อกำนัน และคุณชาวีด้วยนะครับที่แต่งเรื่องขึ้นมา เพื่อจะได้เข้ามาใกล้ชิดคุณอลิสา ผมรักและจริงใจกับคุณอลิสาจริงๆนะครับ และผมได้พาเธอไปกราบคุณแม่ผมมาแล้ว”
“ใช่ค่ะคุณพ่ออลิสาก็รักนายภาคภูมิเหมือนกันค่ะ นายภาคภูมิทำให้ลูกสามารถเดินในตลาดได้อย่างภาคภูมิใจ ไปไหนมาไหนมีแต่คนยกมือไหว้แล้วยิ้มให้ ไม่มีใครรังเกียจลูกเลยว่าเป็นลูกสาวมาเฟีย ไม่เหมือนแต่ก่อน เขาทำให้ลูกกล้าที่จะมีเพื่อน กล้าที่จะออกไปข้างนอกคนเดียวโดยไม่ต้องมีชายฉกรรจ์คอยคุ้มกันตลอดเวลา”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆแสดงว่านายภาคภูมิ นายกล้าหาญมากที่กล้าเข้ามาดงเสือก็เพื่อผู้หญิงที่ตนหลงรัก เอาละฉันไม่ได้ถือโทษเรื่องที่นายแต่งเรื่องขึ้นมาหรอก เพราะสิ่งที่นายทำมันไม่ได้ทำให้งานเสียหายอะไร กลับกันงานกับออกมาดีมีแต่คนชื่นชมนาย และอีกอย่างนายทำให้อลิสาลูกสาวของฉันเปลี่ยนไปในทางที่ดีอีกด้วย”
“อลิสาขอให้คุณพ่อลดค่าเช่าต่างๆ ที่เราเก็บค่าเช่ากับชาวบ้านได้ไหมคะพ่อ ครอบครัวเราก็ร่ำรวยมากอยู่แล้ว แต่พวกเขาค้าขายหาเข้ากินค่ำกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท ต้องเอามาจ่ายค่าเช่าแพงๆกับพวกเราอีก”
“ลูกสาวของพ่อเปลี่ยนไปมากจริงๆ ปกติพ่อก็เก็บค่าเช่าไม่แพงอยู่แล้ว นะลูก แต่ที่แพงน่าจะเป็นเพราะชาวีกับลูกน้องมาขึ้นค่าเช่ากันเอง”
“ก็เพราะอย่างนั้นแหละค่ะชาวบ้านถึงได้ด่าว่าพวกมาเฟียหน้าเลือด ต่างกับภาคภูมิที่มีแต่คนรักและยกมือไหว้”
จับลูกเสือได้แล้วพ่อเสือก็ไม่ขัดขวาง
“เอาเถอะพ่อได้พิจารณาแล้ว จากนี้ต่อไปให้ลูกอลิสาเข้าไปทำงานแทนนายภาคภูมิทั้งหมด” รวมถึงดูแลลูกน้องทุกคนด้วย ส่วนชาวีที่ผ่านมาฉันตามใจนายมากไป จนนายทำอะไรต่อมิอะไรผิดเพี้ยนไปหมด ฉันจะให้นายไปดูแลบ่อนที่ชายแดนตรงที่เราเพิ่งกลับมานั่นแหละ นายน่าจะชอบงานแบบนี้มากกว่า ไปเก็บของได้แล้วเดี๋ยวฉันจะให้คนไปส่ง ส่วนนายภาคภูมิฉันเห็นในความรู้ความสามารถของนาย ฉันจะให้นายดูแลกิจการที่ใสสะอาดของฉันทั้งหมด แต่มีข้อแม้อยู่ข้อหนึ่ง”
“ข้อแม้อะไรคะพ่อ”
“ข้อแม้อะไรครับพ่อกำนัน”
หนุ่มสาวทั้งสองถามเสียงดังด้วยอาการตื่นเต้นพร้อมกัน จนทำให้กำนันหาญสะดุ้งตกใจ
“นายต้องแต่งงานกับอลิสาลูกสาวของฉันเสียก่อน”
ทั้งภาคภูมิและอลิสาได้ยินคำตอบ ทั้งสองคนเขินจนหน้าแดงกันทั้งคู่ หลังจากนั้นกำนันหาญก็ได้จัดงานแต่งงานให้ลูกสาวขึ้นกลางตลาด โดยมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ามาร่วมยินดีกับคู่บ่าวสาว กันคับคั่ง
ส่วนเรือนห่อคู่บ่าวสาว นายภาคภูมิเลือกเป็นที่บ้านสวนกาแฟรีสอร์ต บ้านของป้าดาผู้เป็นแม่นั่นเอง
ต่อมากำนันหาญก็วางมือจากธุรกิจทั้งหมดเพราะอายุมากขึ้นเรื่อยๆจึงได้ยกกิจการให้ลูกเขยเข้าไปบริหาร
นายภาคภูมิก็ทำงานวิศวกรเหมือนเดิมและยังเป็นผู้บริหารในธุรกิจของกำนันหาญทุกแห่งอีกด้วย
ส่วนอลิสาก็เป็นมาเฟียสาวเต็มตัว เธอยังได้ลดค่าเช่าต่างๆให้ผู้เช่าทุกราย และกำซับลูกน้องทุกคนห้ามใช้กำลังและข่มขู่กับผู้เช่าเด็ดขาด จนเธอได้รับความนิยมชมชอบ ไปใหนมาไหนมีแต่คนรักคนศรัทธา และต่อมาเธอก็ได้ชนะการเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นนายยกเทศมนตรี
ส่วนนายชาวีที่กำนันหาญรักเหมือนกับลูก ก็ได้ดูแลธุรกิจสีเทาของกำนันหาญแถวตะเข็บชายแดนทั้งหมด
…จบบริบูรณ์ สวัสดี..